ไอกรน อาการ

วิกฤตไอกรนในเด็ก: รู้ไว้ก่อนตกเป็นเบี้ยล่าง!

ตามสถานการณ์ระบาด โรคไอกรนกำลังมาแรง! แทนที่เราจะซุ่มซ่าม เรามาอัปเดตสิ่งที่ควรรู้และวิธีการป้องกันกันดีกว่า!

โรคไอกรน เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินหายใจซึ่งกำลังจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในประเทศไทยในขณะนี้ ตามรายงานพบว่ามีผู้ป่วยไอกรนตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 แล้วมากถึง 1,290 ราย และมีผู้เสียชีวิตถึง 2 ราย ซึ่งสร้างความวิตกกังวลให้กับผู้ปกครองเป็นอย่างมาก เนื่องจากโรคนี้มีความสามารถในการแพร่ระบาดได้ง่ายพรากเวลาที่เรามองข้าม สุขภาพของเด็กๆ ต้องคำนึงเป็นสำคัญ!

หนึ่งในมาตรการที่จะช่วยลดความรุนแรงของโรคนี้คือการฉีดวัคซีน โดยกรมควบคุมโรคได้วางแผนให้นโยบายวัคซีนเข้าถึงประชาชนมากกว่า 90% ซึ่งก็คือการสร้างภูมิคุ้มกันกลุ่มให้กับเด็กในโรงเรียนและเขตพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการระบาด อย่างไรก็ตาม ยังคงมีพื้นที่บางจุดที่ยังไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนได้เต็มที่ ผู้ปกครองจึงควรนำลูกหลานไปฉีดวัคซีนตามกำหนดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด!

ในขณะที่โรงเรียนเมืองหลวงต่างมีการเฝ้าระวังโรคไอกรนอย่างใกล้ชิด โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวันก็ได้ประกาศหยุดการเรียนการสอนเมื่อพบว่าโรคไอกรนกำลังแพร่ระบาดอย่างรุนแรง แพทย์เตือนว่าเด็กเป็นกลุ่มเสี่ยงอาจมีอาการป่วยอย่างร้ายแรงได้ ในขณะเดียวกัน ผู้ใหญ่อาจเป็นผู้พาเชื้อมาแพร่ แต่ก็นับว่าโอกาสเกิดโรคในผู้ใหญ่ค่อนข้างน้อยไปซักหน่อย

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ถึงแม้โรคนี้ส่งผลกระทบให้ทุกคนมีความกังวลมากขึ้น แต่ไม่ต้องตื่นตระหนกไป เพราะจากข้อมูลที่รวบรวมมา พบว่า 50% ของคนไทยมีภูมิต้านทานต่อโรคไอกรนแล้วในระดับหนึ่ง ดังนั้นการป้องกันและการรู้จักโรคนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น นักวิทยาศาสตร์ยังยืนยันว่าโรคไอกรนสามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน และหากชุมชนเราร่วมมือกัน ปัญหาโรคนี้น่าจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด!

ในขณะที่หลายๆ คนเริ่มตระหนักถึงอาการ เช่น ไอมากกว่าปกติ มีเสียง wheezing และหายใจตื้น ควรมีการระมัดระวังอย่างสูงและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งการรับวัคซีนถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกัน เชื่อเถอะ! นอกจากไอกรนแล้ว ประสบการณ์การได้รับวัคซีนจะทำให้เรามีภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งต่อโรคต่างๆ ในอนาคต!